เรดบูลล์ย่ำชัดเมินดึง เวทเทล คืนถิ่นเก่า
บิ๊กบอส เรดบูลล์ เรซซิ่ง ยืนยันไม่มีแผนการดึง เซบาสเตียน เวทเทล กลับคืนสู่ถิ่นเก่า เพราะจ่ายค่าเหนื่อยให้ไม่ไหว และตอนนี้มี แม็กซ์ เวอร์สแท็พเพ่น เป็นนักขับเบอร์หนึ่งอยู่แล้วด้วย
เฮลมุต มาร์โก บิ๊กบอส เรดบูลล์ เรซซิ่ง เปิดเผยผ่าน Motorsport.com สื่อชื่อดังแห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตว่า ไม่มีแผนการดึง “เซ็บ” เซบาสเตียน เวทเทล อดีตเด็กเก่าชาวเยอรมันกลับคืนสู่ทีมเดิมเลย แม้จะสามารถเปิดโต๊ะเจรจาได้ก็ตาม เนื่องจากอดีตแชมป์โลก 4 สมัยได้ประกาศแยกทางกับ “ม้าลำพอง” เฟอร์รารี่ ในช่วงหมดสัญญาหลังจบฤดูกาลนี้เรียบร้อยแล้ว ทว่านักซิ่งวัย 32 ปีมีค่าเหนื่อยสูงมาก และตอนนี้มี แม็กซ์ เวอร์สแท็พเพ่น นักขับชาวดัตช์เป็นตัวหลักอยู่แล้วด้วย จึงไม่อยากดึงนักแข่งระดับโลกให้มาอยู่ทีมเดียวกัน
“เราไม่ต้องการจ่ายเงินจำนวนมหาศาล และเราไม่สามารถจ่ายได้ด้วย จำนวนเงินที่ เฟอร์รารี่ เสนอให้เขา หากเทียบกับค่าเหนื่อยที่ อเล็กซ์ อัลบอน ได้รับถือว่าห่างกันเยอะมากเลย เราทำแบบนั้นไม่ได้แน่นอน และจะไม่ดึงนักขับระดับโลกมาอยู่ในทีมเดียวกัน และชื่อของเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่เราหารือกันด้วย”
ก่อนหน้านี้ เวทเทล เคยสร้างชื่อกับ เรดบูลล์ เรซซิ่ง ในช่วงหลังย้ายมาจาก สคูเดเรีย โตโร่ รอสโซ่ ซึ่งเป็นทีมในเครือเมื่อปี 2009 และเข้าป้ายแชมป์โลกได้ถึง 4 สมัยติดต่อกัน ในปี 2010, 2011, 2012, 2013 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ เฟอร์รารี่ ในปี 2015 แต่ไม่สามารถกลับคืนจุดสูงสุดได้อีกเลย โดยทำได้ดีที่สุดคือตำแหน่งรองแชมป์ 2 สมัยซ้อน ในปี 2017 และ 2018 ทำให้ “ม้าลำพอง” ตัดสินใจถ่ายเลือดใหม่ด้วยการเซ็นสัญญาคว้า คาร์ลอส ซายน์ นักขับชาวสเปนมาจาก แม็คลาเรน เพื่อให้มาช่วยซิ่งแทนที่เรียบร้อยแล้ว
ฤดูกาลนี้ เรดบูลล์ เรซซิ่ง ได้วางตัว เวอร์สแท็พเพ่น ที่เพิ่งจับต่อสัญญาใหม่ไปจนถึงปี 2023 ให้ซิ่งคู่กับ อเล็กซ์ อัลบอน นักซิ่งสัญชาติไทยลูกครึ่งอังกฤษ หลังประทับใจผลงานจากเมื่อซีซั่นก่อนที่ได้ดึงมาจาก สคูเดเรีย โตโร่ รอสโซ่ ในช่วงครึ่งซีซั่นหลังแล้วจบการชิงชัยด้วยอันดับ 8 แม้ว่าซีซั่นนี้จะยังชิงชัยกันไม่ได้จากปัญหาโควิด-19 แต่มีรายงานว่า เรดบูลล์ เรซซิ่ง ยังคงมองหาตัวเลือกอื่นๆ ที่วางไว้ใจได้ และหมายหัวไปที่ วัลเตรี บ็อตตาส จอมเก๋าชาวฟินแลนด์ที่ใกล้หมดพันธะกับ เมอร์เซเดส และตกลงเรื่องสัญญาใหม่ยังไม่ได้อีกด้วย
มีรายงานว่า เวทเทล รับค่าเหนื่อยจาก เฟอร์รารี่ เป็นเงินสูงถึงปี 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐเลยทีเดียว
