บันไดสู่ MotoGP ของนักแข่งใน Moto2 และ Moto3
เป็นปกติของนักกีฬาทั่วไปที่จะมีจุดมุ่งหมายในเส้นทางอาชีพด้วยการขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของการแข่งขัน แต่การที่จะทำได้นั่นแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างที่คาดคิด ซึ่งเป้าหมายแรกที่พวกเขาจะต้องก้าวข้ามให้ได้นั่นคือการแข่งขันระดับเยาวชนหรือการแข่งขันในระดับรองลงมาให้ได้เสียก่อน
ในการแข่งจักรยานยนต์ทางเรียบอย่าง Moto GP ก็มีระบบคล้ายๆแบบนี้อยู่เช่นเดียวกัน เนื่องจากในการแข่งขันปัจจุบันนั้นมีข้อจำกัดและความไม่เอื้ออำนวยของการแข่งขันที่ไม่สามารถให้นักแข่งจำนวนเยอะๆมาแข่งขันพร้อมกันได้ ทำให้ในการแข่งขัน Moto GP ในแต่ละสนาม แต่ละประเทศ จะมีการแข่งขันในอีกกลุ่มที่ถือว่าเป็นการแข่งขันในระดับที่รองลงมาอย่าง Moto 2 และ Moto 3 เพื่อรองรับนักแข่งระดับเยาวชนหรือผู้ต้องการไต่ระดับขึ้นไปแข่งใน Moto GP ซึ่งกาแข่งขันนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้นักแข่งได้ชิมลางบรรยากาศการแข่งขันและเป็นเวทีเพื่อใช้แสดงฝีมือเพื่อหวังสร้างผลงานเข้าตาทีมใหญ่ๆได้ ถึงแม้ว่าข้อกำหนดหรือกติกาบางอย่างจะแตกต่างกว่าการแข่งขันใน Moto GP พอสมควร เริ่มจากระดับ Moto 2 ซึ่งถึงว่าเป็นบันไดขั้นสุดท้ายก่อนเข้าสู่ Moto GP
ซึ่งกฎกติกาส่วนใหญ่ก็จะมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องระเบียบทีมแข่งหรือการส่งนักแข่งเข้าแข่งขัน จะมีจุดต่างใหญ่ๆเป็นในเรื่องของประเภทรถจักรยานยนต์ที่ใช้แข่งขัน ในรุ่นนี้ รถที่สามารถนำเข้าแข่งขันได้ต้องมีความจุ 600 CC เครื่อง 4 สูบ โดยน้ำหนักรวมต้องไม่น้อยกว่า 215 กก. ด้านตัวเครื่องยนต์มีข้อบังคับให้รถที่จะเข้าแข่งต้องใช้เครื่องยนต์เดียวกันซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ทางผู้จัดการแข่งขันเตรียมไว้ให้ ซึ่งปัจจุบันผู้พัฒนาเครื่องยนต์ให้ Moto 2 คือ TRIUMPH ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ชื่อดังที่คนไทยรู้จักดี โดยการแข่งขัน Moto 2 ทีมที่เข้าร่วมนั้นอาจจะไม่คุ้นหูแฟนๆชาวไทยเหมือนกับ Moto GP ประกอบไปด้วย Kalex , MV Agostra , NTS และ Speed Up ซึ่งปีนี้ได้รีแบรนด์ตัวเองใหม่ในชื่อ Boscoscuro โดยผู้ชนะล่าสุดของ Moto 2 ในการแข่งขันฤดูกาล 2020 คือ Enea Bastianini จาก Kalex ที่ปัจจุบันได้เลื่อนชั้นขึ้นมาแข่งใน Moto GP ฤดูหกาล 2021 เรียบร้อยแล้วภายใต้สังกัดของ Ducati
ส่วนอีกรุ่นอย่าง Moto 3 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นเล็กที่สุดในการแข่งขันระดับเวิร์ดกรังด์ปรีซ์ โดยรุ่นนี้จะเปิดโอกาสให้ระดับเยาวนชนเป็นส่วนใหญ่เปรียบเสมือนบันได้ขั้นแรกก่อนเข้าสู่ Moto GP โดยผู้ที่สามารถเข้าแข่งได้นั้นต้องมีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปและต้องไม่เกิน 28 ปี ซึ่งด้านตัวรถต้องมีความจุ 250 CC โดยไม่ได้กำหนดยี่ห้อเป็นเฉพาะพิเศษ แต่ใช้การกำหนดในแง่ของราคา ซึ่งแต่ละทีมสามารถใช้เครื่องยนต์อะไรก็ได้แต่ราคาต้องไม่เกิน 12,000 ยูโร หรือประมาณ 470,000 บาท ซึ่งสามารถใช้ได้ 8 เครื่องต่อการแข่งขันในหนึ่งฤดูกาล โดยทีมที่เข้าร่วมแข่งขันใน Moto 3 ประกอบไปด้วย Honda , KTM ,Husqvarna ซึ่งกลับมาหลังจากพักทีมไป 4ปีเต็ม และ ทีมน้องใหม่อย่าง Gas Gas ที่แยกทีมมาจาก KTM โดยแชมป์โลกคนล่าสุดของ Moto 3 ในฤดูกาลที่แล้วเป็นของ Albert Arenas จาก KTM ที่ปัจจุบันได้เลื่อนขั้นไปแข่งใน Moto 2 ภายใต้สังกัดทีมอย่าง Boscoscuro เรียบร้อยแล้ว เห็นได้ว่าหากสามารถทำผลงานได้ดีในลีกระดับรองได้ก็สามารถพาตัวเองเข้าใกล้จุดสูงสุดได้ ใช่ว่าเพียงแต่รอโชค จังหวะ หรือ โอกาส การพยายามพัฒนาตัวเองในจุดที่ตัวเองยืนอยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ก็พาเราไปถึงฝั่งฝันได้เช่นเดียวกัน
